เรื่องของ “ลูกกอล์ฟ” จากอดีตสู่ปัจจุบัน

เรียกได้ว่ามีิอุปกรณ์หลากหลายอย่างที่พัฒนา และเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แล้วนักกอล์ฟทราบหรือไม่ว่า หนึ่งในนั้นที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้คืออะไร คำตอบก็คือ “ลูกกอล์ฟ”

ลูกกอล์ฟ เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์กอล์ฟที่ใช้กันมากที่สุด และมีการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งลูกกอล์ฟสมัยใหม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เท่าทันยุคสมัย รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบัน ต้นกำเนิดของลูกกอล์ฟนั้น สืบย้อนไปถึงห้าขั้นของวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ลูกที่ทำจากไม้ในศตวรรษที่ 14 ไปจนถึงลูกแกนยางสมัยใหม่ในปัจจุบัน ครั้งนี้ HotGolf เลยขอนำข้อมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลูกกอล์ฟมานำเสนอ

ลูกกอล์ฟที่ทำจากไม้
หลายๆ คน ได้สันนิษฐานไว้ว่าในช่วงยุคแรกๆ ของเกมกอล์ฟนั้น ใช้ลูกกอล์ฟที่ทำขึ้นจากไม้ในการเล่นในช่วงศตวรรษที่ 14 แต่มันก็ถูกหักล้างว่าลูกกอล์ฟไม้นั้นไม่เคยถูกนำมาใช้มาก่อน ไม่ว่าจะในสนามลิงค์กอล์ฟในสก็อตแลนด์ แต่ลูกกอล์ฟแบบไม้ถูกใช้ในเกมแรกๆ ที่คล้ายกับเกมกอล์ฟ ซึ่งหลักฐานของการใช้ลูกกอล์ฟนั้นหายาก ดังนั้นจึงมีการถกเถียงกันว่านักกอล์ฟได้ใช้ลูกกอล์ฟที่ทำจากไม้เหล่านี้หรือไม่

ลูกกอล์ฟขนดก
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1486 ถึง ค.ศ. 1618 ชาวสก็อตได้ใช้ลูกกอล์ฟขนดกที่นำเข้าจากเนเธอร์แลนด์ ลูกกอล์ฟมีขนดกเป็นลูกหนังทรงกลมเย็บด้วยมือ ซึ่งทำขึ้นมาจากขนและหนังวัว ในปี ค.ศ. 1554 ลูกกอล์ฟขนดกถูกผลิตขึ้นในสกอตแลนด์โดย “ช่างทำไม้และผู้ผลิตลูกกอล์ฟของ North Leith” ลูกกอล์ฟเหล่านี้ยังคงถูกใช้ต่อไปแม้กระทั่งหลังจากที่ลูกกอล์ฟเฟเธอร์รีเปิดตัวในปี ค.ศ. 1618 เนื่องจากมีราคาถูกกว่า จึงได้ชื่อว่าเป็นลูกกอล์ฟ ‘ธรรมดา’ ลูกกอล์ฟพวกนี้ถูกใช้จนถึงศตวรรษที่ 18

ลูกกอล์ฟเฟเธอร์รี หรือลูกกอล์ฟขนนก


ในปี ค.ศ. 1618 ได้มีการแนะนำลูกกอล์ฟ “เฟเธอร์รี” หรือขนนกขึ้น ซึ่งทำขึ้นคล้ายกับลูกกอล์ฟขนดก แต่ใช้เป็นขนห่านหรือไก่แทน เนื่องจากลูกกอล์ฟแบบขนนกนั้นถูกทำขึ้นมาแบบนี้โดยเฉพาะ จึงสามารถยัดขนนกเข้าไปได้เต็มกว่าแบบลูกกอล์ฟขนดก ซึ่งทำให้ลูกกอล์ฟลอยออกไปได้ไกลยากขึ้น ในการทำลูกกอล์ฟขนนกนั้น ขนและหนังจะต้องเริ่มทำเป็นรูปร่างในขณะที่ยังเปียกอยู่ เมื่อแห้ง หนังจะหดตัวส่วนขนจะขยายออก ทำให้เกิดความแข็งที่ลูกกอล์ฟ เมื่อหนังเริ่มแห้ง จะเริ่มทาสีและเพิ่มเครื่องหมายลงไป กระบวนการทำลูกกอล์ฟขนนกนี้ใช้เวลานานมาก ซึ่งทำให้ลูกกอล์ฟชนิดนี้มีราคาสูง ข้อเสียบางอย่างของลูกกอล์ฟขนนกคือ ลูกกอล์ฟชนิดนี้จะมีสปีดที่ไม่ดี เรียกได้ว่าหมุนไม่สม่ำเสมอ และจะสูญเสียระยะทางถ้ามันเปียก และลูกกอล์ฟอาจขาดหรือเปิดออก ถ้าเจอกับแรงกระแทกที่แรงเกินไป นักกอล์ฟมืออาชีพคนแรก Allan Robertson ถือเป็นผู้ผลิตลูกกอล์ฟ และไม้กอล์ฟชั้นนำในยุคของเขาในช่วงต้นปี ค.ศ. 1800 ในปี ค.ศ. 1835 เมื่ออายุได้ 14 ปี ทอม มอร์ริส (ภายหลังเป็นที่รู้จักในนาม Old Tom Morris & the Grandfather of Golf) เริ่มทำงานภายใต้การดูแลของโรเบิร์ตสันที่เซนต์แอนดรูว์ ทั้งสองได้ร่วมกันทำลูกกอล์ฟแบบขนนกจนกระทั่งได้ทำลูกกอล์ฟแบบ Guttie สำเร็จ โรเบิร์ตสันไม่ถูกใจลูกกอล์ฟแบบ Guttie และเห็นว่ามันเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจลูกกอล์ฟขนนกของเขา ส่วนมอร์ริสมองว่ามันเป็นอนาคตใหม่ของเกมกอล์ฟ ทั้งสองแยกทางกันหลังจากที่โรเบิร์ตสันไล่มอร์ริสออก เพราะลูกกอล์ฟ Guttie มอร์ริสจึงไปเปิดร้านของตัวเองที่ Prestwick ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน Open Championship ครั้งแรก

ลูกกอล์ฟ Guttie / Gutta


ในปี 1848 ดร.โรเบิร์ต อดัมส์ แพเตอร์สันเป็นผู้ประดิษฐ์ลูกบอล Gutta-Percha หรือ Guttie ขึ้น โดยไส้ในทำจากยางไม้แห้งจากต้นละมุดมาเลเซีย ตัวยางมีคุณสมบัติเมื่อได้รับความร้อนจะแข็งตัว และกลายเป็นทรงกลมในไม่ช้า ลูกกอล์ฟ Guttie ก็ได้รับความนิยม เนื่องจากต้นทุนในการผลิตนั้นไม่แพง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายหากได้รับความเสียหาย และมีคุณสมบัติ aerodynamic ที่ดีกว่าลูกขนนก ลูกกอล์ฟ Guttie ในภายหลังพบว่า รอยที่เหลือจากการถูกหน้าไม้กระทบบนลูกทำให้คุณสมบัติ aerodynamic มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้ลูกกอล์ฟ Guttie นั้นพัฒนาจากลูกกอล์ฟพื้นผิวเรียบมาเป็นแบบพื้นผิวขรุขระเป็นรอยร่องลึกมากขึ้น เพื่อให้ได้ไฟลท์บอลที่ดีขึ้น ในปี ค.ศ. 1890 ลูกกอล์ฟ Guttie ได้มีการผลิตแม่พิมพ์ที่ใช้ในการหล่อลูกขึ้น ซึ่งทำให้รูปแบบที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ และเพิ่มความสามารถในการผลิตมากขึ้น ซึ่งรูปแบบที่นิยมใช้ในลูกกอล์ฟ Guttie ก็คือแบบพื้นผิวขรุขระรอบๆ ลูก ซึ่งรูปแบบยกขึ้นเป็นก้อนกลมตามพื้นผิวที่ทำให้ดูเหมือนผลไม้หนาม

ลูกกอล์ฟแบบแกนยาง Haskel
ในปี 1898 Coburn Haskell ได้ค้นพบลูกกอล์ฟรูปแบบใหม่ระหว่างรอ Bertram Work จากบริษัท B.F. Goodrich เมื่อเขาพันยางไปรอบๆ ลูกกอล์ฟแล้วลองกระดอนออกไป Haskell พบว่าลูกกอล์ฟมีการกระดอนมากขึ้น และจากคำแนะนำของ Bertram Work เขาแนะนำว่าให้หาตัวโคฟเวอร์มาปิดในส่วนที่เป็นยางไว้ ทำให้ลูกกอล์ฟ Haskell ที่เป็นยาง ถือกำเนิดขึ้น ขั้นตอนแรกในการผลิตลูกกอล์ฟ Haskell นั้นคือ การเติมของเหลวหรือของแข็งเป็นแกนด้านในซึ่งถูกหุ้มด้วยยางในชั้นนอก เพื่อทำให้แกนนั้นเป็นทรงกลม และใหญ่ขึ้น จากนั้นจึงหุ้มเปลือกนอกบางๆ ที่ทำจากไม้บาลาตา ในช่วงแรกนั้นลูกกอล์ฟ Haskell ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปแบบที่เป็นลวดลายหนามเหมือนกับ Guttie

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นทศวรรษ ค.ศ. 1900 ก็ได้พบว่าการพลิกรูปแบบหนามให้อยู่ด้านใน และรอยเว้าอยู่ด้านนอกแทนทำให้ลูกกอล์ฟมีไฟลท์บอลที่ดีขึ้น และควบคุมได้ง่ายกว่า จึงเกิดเป็นรูปลักษณ์ที่เราคุ้นเคยกันจนถึงปัจจุบัน ในช่วงเริ่มแรกที่ใช้ยางไม้บาลาตาทำลูกกอล์ฟ Haskel มีแนวโน้มที่จะเกิดการบิดเบี้ยวเนื่องจากตัวยางค่อนข้างนิ่ม ในช่วงกลางทศวรรษ ค.ศ. 1960 มีการนำเรซิ่นสังเคราะห์ชนิดใหม่ที่เรียกว่า Surlyn มาใช้พร้อมกับผสมด้วยยูริเทนแบบใหม่มาใช้สำหรับการหุ้มลูกกอล์ฟ วัสดุใหม่เหล่านี้ช่วยครอบคลุมลูกได้ดีกว่า และทนทานกว่า จากนั้นลูกกอล์ฟเริ่มจำแนกตามจำนวนส่วนประกอบที่ใช้ในการวาง และประกอบลูกกอล์ฟ ไม่ว่าจะเป็นลูกกอล์ฟแบบสองชั้น สามชั้น หรือสี่ชั้น ในปี 1967 Spalding กลายเป็นบริษัทแรกที่จดสิทธิบัตร และพัฒนาลูกกอล์ฟแบบแข็งโดย Jim Bartsch ซึ่งเลิกใช้เทคนิคผลิตลูกกอล์ฟแบบเป็นชั้นๆ และกลายเป็นที่รู้จักในชื่อรุ่น “executive” โดยลูกกอล์ฟ Haskel นั้นเรียกได้ว่าเป็นโมเดลลูกกอล์ฟขั้นพื้นฐานของลูกกอล์ฟสมัยใหม่เลยก็ว่าได้ เทคนิคการแบ่งชั้นช่วยให้ผู้ผลิตลูกกอล์ฟสามารถสร้างลูกกอล์ฟที่มีคุณสมบัติต่างกันซึ่งช่วยในด้านต่างๆ ของเกมในผู้เล่นแต่ละคนที่สไตล์ต่างกันออกไปได้ ลูกกอล์ฟบางลูกสามารถลอยได้ไกลกว่า ในขณะที่บางลูกได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างสปินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กฎพื้นฐานของการเล่นกอล์ฟก็ยังคงอยู่ ซึ่งควบคุมโดย Royal & Ancient และ United States Golf Association ได้กำหนดมาตรฐานว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของลูกกอล์ฟต้อง “สอดคล้อง” โดยไม่เล็กกว่า 1.680 นิ้ว และน้ำหนักไม่เกิน 1.620 ออนซ์ และลูกต้องเป็นทรงกลม

โดยถ้าพูดถึงความเป็นมาของลูกกอล์ฟที่มีมานานก็คงไม่พ้นแบรนด์ Titleist ซึ่งผลิตลูกกอล์ฟรุ่นแรกออกมาในปี 1935 และลูกกอล์ฟนั้นก็ได้ถูกแนะนำให้กับนักกอล์ฟอาชีพ และนักกอล์ฟสมัครเล่นหลายต่อหลายคนว่า เป็นลูกกอล์ฟที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่ตอนนั้น จุดเริ่มต้นนั้นมาจาก Phil Young นักกอล์ฟสมัครเล่นที่จริงจังกับกีฬากอล์ฟ และเป็นเจ้าของบริษัท พัตต์พลาดในขณะที่เขาสโตรกลูกได้ดีตอนออกรอบกับเพื่อน

ด้วยความเชื่อที่ว่า ลูกกอล์ฟลูกนั้น มีข้อบกพร่อง Young และเพื่อนของเขาไปที่โรงพยาบาล เอกซเรย์ลูกกอล์ฟที่เขาสงสัย และพบว่า แกนในของลูกกอล์ฟไม่อยู่ตรงศูนย์กลาง จากการค้นพบในครั้งนั้นทำให้ Phil Young ได้ชักชวน Fred Bommer เพื่อนของเขาที่เรียนที่ MIT ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาง และเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ มาร่วมงานกันที่แผนกกอล์ฟของ Acushnet เพื่อผลิตลูกกอล์ฟที่สมบูรณ์แบบขึ้น เมื่อสินค้าพร้อมและวางจัดจำหน่ายครั้งแรกในปี 1935 โดยเขาใช้นโยบายในการกระจายสินค้าด้วยการ “ขายโดยนักกอล์ฟอาชีพเท่านั้น” ทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือ และนักกอล์ฟหลายๆ คนเริ่มรู้จักและใช้แบรนด์กอล์ฟ Titleist มากขึ้นตั้งแต่นั้นจวบจนถึงปัจจุบัน Titleist ก็ได้พัฒนาลูกกอล์ฟมากขึ้นจนมาถึง Titleist Pro V1และ Pro V1x ซึ่งเป็นอุปกรณ์กอล์ฟที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในประวัติศาสตร์

ลูกกอล์ฟ Titleist Pro V1 และ Pro V1x ถูกสร้างให้ ตีได้ไกลขึ้น ให้สปินในการเล่นรอบกรีน และประสิทธิภาพในการควบคุมลูกสูงขึ้น และให้ความรู้สึกนุ่มยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังให้คุณภาพ และความสม่ำเสมอสูงสุด โดยแกนใน และเปลือกหุ้มแกนใน ด้วยเทคโนโลยีด้านอากาศพลศาสตร์แบบใหม่ รวมถึงรอยบุ๋มแบบใหม่ 388 (Pro V1) และ 348 (Pro V1x) ทำให้ตีได้ไกล และสม่ำเสมอยิ่งขึ้น

โดยนักกอล์ฟสามารถสั่งซื้อได้ที่ ลูกกอล์ฟ Titleist Pro V1 ได้ที่ HotGolf Shop https://bit.ly/3BBkNTC พิเศษ เฉพาะสมาชิก HotGolf ลดราคาเหลือเพียงโหลละ 1,920 บาท (จากปกติ 2,400 บาท)

**สั่งซื้อสินค้ากอล์ฟออนไลน์จากทุกแบรนด์ชั้นนำ ผ่าน HotGolf Shop สอบถามสินค้าได้ที่คลิก https://line.me/R/ti/p/%40otgolf