ทำไมคุณถึงไม่ควรรีบปิดทีวี? กับสุดยอดสถิติคัมแบ็ค แซงคว้าแชมป์วันสุดท้าย

เป็นการแข่งขันที่ผู้ชมชาวไทยได้ลุ้นสนุกกันจนถึงวันสุดท้าย สำหรับศึกเมเจอร์กอล์ฟสตรี “เอวิยอง แชมเปี้ยนชิพ” ที่เพิ่งจบลงไป

โดยเฉพาะการที่มีนักกอล์ฟสาวไทยอย่าง “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมส่งท้าย เร่งผลงานขยับขึ้นมาคว้าอันดับที่ 5 ติดมือ ทั้งที่เป็นการลงเล่นรายการเมเจอร์ในฐานะผู้เล่นอาชีพเป็นครั้งแรกเท่านั้น เช่นเดียวกับ “โปรเมียว” ปาจรีย์ อนันต์นฤการ ที่เข้ามาติดท็อป 10 ได้สำเร็จ

แม้สาวไทยจะไม่ได้แชมป์ แต่แฟนกอล์ฟหลายคนก็อดตื่นเต้นไปกับการลุ้นแชมป์ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์พลิกผัน จองอึน ลี6 พลาดแชมป์อย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งที่ออกสตาร์ทการแข่งขันรอบสุดท้าย ด้วยการมีแต้มตุนห่างถึง 5 สโตรก

อีกทั้งผู้ที่มาแซงแย่งแชมป์ไปจากเธอคือ มินจี ลี นั้น ก็เริ่มต้นวันสุดท้ายด้วยการมีแต้มตามหลังห่างอยู่ถึง 7 สโตรก ก่อนไล่ทำแต้ม และอาศัยโอกาสที่ผู้นำแต้มไม่ขยับ จนจบการแข่งขันด้วยสกอร์รวมเท่ากัน และเอาชนะด้วยการเพลย์ออฟไปในที่สุด

ถ้าดูจากสถิติการแข่งขันก่อนหน้านี้ของ เอวิยอง แชมเปี้ยนชิพ ถือเป็นรายการที่ไม่เคยง่ายสำหรับผู้นำเสมอ นับตั้งแต่ถูกยกให้เป็นรายการระดับเมเจอร์เมื่อปี 2013 มีเพียงแค่สองครั้งเท่านั้นที่ผู้นำจากรอบสามสามารถยืนระยะไปคว้าแชมป์ได้ในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ตาม ด้วยแต้มที่นำห่างถึง 5 สโตรก ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อไม่น้อยว่า จองอึน ลี6 จะพลาดแชมป์

เป็นการพิสูจน์ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในเกมกอล์ฟวันสุดท้าย และหลุมสุดท้าย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องฟลุค เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้

การแซงคว้าแชมป์ในวันสุดท้ายของ มินจี ลี ที่ไล่จากตามหลังห่าง 7 สโตรกนั้น น่าเหลือเชื่อ แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อมันกลายมาเป็นแต้มสถิติตามหลังผู้นำหลังจบรอบสามห่างสูงสุด ของผู้ชนะรายการแอลพีจีเอทัวร์ เทียบเท่ากับสถิติที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้โดย แพ็ตตี้ ชีแฮน และ แคร์รี่ เว็บบ์ ที่ก็เคยคว้าแชมป์ทั้งที่ตามหลังห่าง 7 สโตรกในวันสุดท้ายมาแล้วเช่นกัน

7 สโตรกที่ว่าเยอะแล้ว แต่ก็ยังน้อยกว่า เมื่อเทียบกับฝั่งพีจีเอทัวร์ เมื่อสถิติสกอร์ห่างสุดของการแซงคว้าแชมป์นั้นห่างถึง 10 สโตรกเลยทีเดียว!!

ที่สำคัญคือมันเกิดในรายการเมเจอร์ด้วยเช่นเดียวกัน

สถิติดังกล่าวเกิดขึ้นในกอล์ฟ ดิ โอเพ่น ปี 1999 ที่สนามกอล์ฟคาร์นูสตี้ การแข่งขันวันสุดท้ายในครั้งนั้น ผู้นำคือ ฌอง แวน เดอ เวลเด้ ที่ออกสตาร์ทวันสุดท้ายด้วยการมีแต้มนำคู่แข่งห่างถึง 5 สโตรก

การแข่งขันดูเหมือนจะไม่มีอะไรพลิกล็อกแล้ว แม้ช่องว่างระหว่างผู้นำ-ผู้ตามเมื่อมาถึงหลุมสุดท้ายจะห่างเหลือเพียง 3 สโตรก แต่นั่นก็ยังต่อให้แม้ แวน เดอ เวลเด้ จะออกดับเบิ้ลโบกี้ เขาก็จะยังเป็นแชมป์

หลุม 18 พาร์ 4 ในช็อตไดร์ฟ แวน เดอ เวลเด้ ทีช็อตด้วยไดรเวอร์ ปรากฎว่าลางเริ่มไม่ดี ลูกแหกขวาชนิดข้ามไปอยู่หลุม 17 เกือบตกน้ำ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในจุดที่ปลอดภัย เปิดโอกาสให้เจ้าตัวบุกต่อด้วยเหล็ก 2

แต่ช็อต 2 ของเขาก็ยังไม่ดีอีก ลูกไปตกโดนอัฒจันทร์คนดู กระเด้งถอยหลังราว 50 หลาไปอยู่ในพื้นที่รัฟหนาตามแบบฉบับลิงค์คอร์ส

ถึงแม้คุณจะเป็นนักกอล์ฟระดับโลก แต่การเล่นจากรัฟหนาๆ ของลิงค์คอร์ส ต่อหน้าผู้ชมบนแกรนด์สแตนด์นับหมื่นคน มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน และช็อตที่ 3 ของ แวน เดอ เวลเด้ ที่ตีออกจากรัฟไปตกคูน้ำเล็กๆ ข้างหน้า ก็เป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

แวน เดอ เวลเด้ ลงทุนถอดรองเท้า ถกขากางเกง เพื่อลงไปดูลูกกอล์ฟของเขาที่อยู่น้ำ และในทีแรกเขาตั้งใจจะตีมันจากในน้ำ เพื่อไม่ให้เสียสโตรก แต่เนื่องจากลูกอยู่ติดขอบคูน้ำมากจนเกินไป สุดท้ายเจ้าตัวยอมเสียช็อตมาดร็อปด้านหลังแทน และนี่คือการที่เขากำลังจะเล่นช็อตที่ 5 ในหลุมพาร์ 4 แล้ว

แม้จะเลือกดร็อป แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้การเล่นง่ายขึ้นมากนัก เมื่อต้องดร็อปบริเวณรัฟที่หนา และนั่นทำให้เขาตีตกทรายหน้าบังเกอร์ไปอีก

ที่น่าสนใจคือ เพื่อนร่วมก๊วนอย่าง เคร็ก แพร์รี่ ก็ตีตกทรายหน้าบ่อเดียวกัน ปรากฎว่า แพร์รี่ ระเบิดทรายลงหลุมไปเป็นเบอร์ดี้เสียอย่างนั้น ลองคิดกลับกัน ถ้าคนที่ระเบิดทรายลงคือ แวน เดอ เวลเด้ เขาจะกลายเป็นแชมป์ทันที

ย้อนกลับมาที่ความเป็นจริง แวน เดอ เวลเด้ ระเบิดทรายออกมาใช้ได้ ลูกมาอยู่ห่างปากหลุมเพียง 6 ฟุต และเขาพัตต์ทริปเปิ้ลโบกี้ลงไป ทำให้การลุ้นแชมป์ต้องไปตัดสินกันที่เพลย์ออฟ โดยมี จัสติน เลียวนาร์ด กับ พอล ลอว์รี่ เป็นคู่แข่ง

สำหรับ ลอว์รี่ เขาคือคนที่มาจากนอกเฟรมการลุ้นแชมป์อย่างแท้จริง ไม่แม้แต่อยู่ในท็อป 10 ของลีดเดอร์บอร์ดหลังจบรอบ 3 ด้วยซ้ำ และต้องเริ่มเล่นวันสุดท้ายด้วยมีแต้มตามหลังผู้นำ 10 สโตรก แต่ผลงาน 6 เบอร์ดี้ เสีย 2 โบกี้ ก็ช่วยให้เขาเข้ามาอยู่ในการเพลย์ออฟอย่างน่าเหลือเชื่อ

ต่างกับ เลียวนาร์ด ที่คือผู้ที่ออกสตาร์ทจากอันดับ 2 ร่วม ด้วยมีแต้มตามห่าง แวน เดอ เวลเด้ อยู่ 5 สโตรก แถมจริงๆ เขาน่าจะได้แชมป์ในการเล่น 72 หลุมตามปกติด้วยซ้ำ แต่โชคร้ายมาพลาดเสียโบกี้ในหลุมสุดท้าย

สถานการณ์การลุ้นแชมป์ได้ถูกปูทางมาเพื่อจะกลายเป็นตำนานของการแข่งขันกอล์ฟอย่างแท้จริง เหมือนฟ้าจะกำหนดมาแล้วให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ เมื่อบทสรุปสุดท้ายกลายเป็น ลอว์รี่ ที่เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ พลิกจากตามหลัง 10 สโตรก มาเพลย์ออฟเอาชนะคว้าแชมป์ไปได้

เรื่องราวการคว้าแชมป์ของ มินจี ลี และ พอล ลอว์รี่ คือข้อพิสูจน์ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในการแข่งขันกอล์ฟวันสุดท้าย แม้มันจะเกิดขึ้นไม่บ่อย แม้มันจะเกิดขึ้นไม่ง่าย แต่ก็เป็นไปได้

และคือเหตุผลว่าคุณถึงไม่ควรรีบปิดทีวีนอน เมื่อการแข่งขันยังไม่จบ!!…

**พูดคุยทุกเรื่องราวเกี่ยวกับกอล์ฟได้ที่กลุ่ม Line OpenChat #HotGolf คลิก https://bit.ly/3pFQcMY