ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน!! กับชุดเหล็กสุดร้อนแรงแห่งปี 2021

ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน!! ถ้าคุณกำลังตามหาว่าเหล็กรุ่นไหนคือเหล็กรุ่นที่ร้อนแรงที่สุดของปี 2021 ที่ควรค่าแก่การเข้าไปอยู่ในถุงกอล์ฟของคุณ เพื่อช่วยให้เกมเหล็กมีประสิทธิภาพมากขึ้น, แน่นอนมากขึ้น รวมไปถึงสนุกกับเกมกอล์ฟได้มากยิ่งขึ้น…คุณมาถูกที่แล้ว

เพราะนี่คือการรวบรวมชุดเหล็กสุดร้อนแรงแห่งปี 2021 โดยทีมงาน HotGOlf จำนวน 6 รุ่นที่คุณไม่ควรพลาด และเหล็กเหล่านี้จะช่วยให้เกมบุกธงของคุณร้อนแรงขึ้นได้อย่างแน่นอน…

Callaway Apex 21
Callaway Apex ถือเป็นซีรี่ส์เหล็กชูโรงของ Callaway เสมอ ด้วยการใส่เทคโนโลยีเข้ามาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในรุ่นใหม่ Apex 21 นี้ ถือเป็นครั้งแรกที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ “Artificial Intelligence” หรือ A.I. เข้ามาช่วยในการออกแบบด้วย ทำให้ไลน์ของเหล็กกว้างกว่าเดิม แบ่งออกเป็นถึง 3 โมเดลคือ Apex 21, Apex 21 Pro และ Apex 21 DCB

Apex 21 เป็นเหล็กที่เหมาะกับนักกอล์ฟกับทุกระดับฝีมือ ที่ต้องการระยะทางจากเหล็กมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยี Flash Face Cup จากการออกแบบของ A.I. ที่ดีไซน์อย่างซับซ้อนให้แตกต่างกันในเหล็กแต่เบอร์ เพื่อให้หน้าเหล็กที่ดีดตัว และให้สปินอย่างสม่ำเสมอกันในเหล็กทุกเบอร์ และทั่วทั้งหน้าเหล็ก เพื่อให้เป็นเหล็กที่ทั้งตีไกล และควบคุมได้อย่างแม่นยำไปพร้อมกัน

จากรุ่น Apex 19 ที่มีการใส่ Tungsten Energy Core เข้ามาช่วยในการจัดวางน้ำหนักเป็นครั้งแรก ในรุ่นใหม่นี้ได้เพิ่มตัวถ่วงน้ำหนักทังสเตนเข้ามาอีก 5 เท่า เพื่อช่วยให้จัดวางน้ำหนักได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น และช่วยในการสร้างมุมเหินของลูก พร้อมกับเพิ่มการชดเชยความผิดพลาดในการตีลูกไม่โดนกลางหน้าเหล็ก

สำหรับ Apex 21 นอกจากจะโดดเด่นด้านประสิทธิภาพแล้ว ยังให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม ด้วยการเป็นเหล็กฟอร์จจากวัสดุ 1025 mild carbon steel ที่เสริมสัมผัสให้ยอดเยี่ยมขึ้นอีกด้วย urethane microspheres พร้อมปรับรูปทรงที่ช่วยให้ตีผ่านพื้นหญ้าได้นุ่มนวลยิ่งขึ้นด้วย

ด้าน Apex Pro 21 เป็นโมเดลสำหรับนักกอล์ฟมือดี ด้วยดีไซน์ใบขนาดกะทัดรัด ฐานแคบ ออฟเซ็ตน้อย มาพร้อมเทคโนโลยีหน้าเหล็ก Flash Face Cup จาก A.I. เช่นกัน

โครงสร้างเหล็กถูกออกแบบเป็นโพรงภายใน และเสริมด้วย urethane microspheres เพื่อให้ความนุ่มนวลเป็นพิเศษ ให้ทั้งเสียงและสัมผัสอย่างที่นักกอล์ฟมือดีนั้นต้องการ พร้อมด้วย Tungsten Energy Core ที่มากที่สุดถึง 90 กรัม เพื่อช่วยสร้างมุมเหินและเพิ่มการชดเชยความผิดพลาด

สุดท้ายคือ Apex DCB 21 โมเดลใหม่ล่าสุดที่ถูกใส่เข้ามาอยู่ใน Apex เป็นครั้งแรก เป็นโมเดล Game Improvement ที่ให้การชดเชยความผิดพลาดสูงสุด สำหรับช่วยเหลือนักกอล์ฟกลุ่มกำลังพัฒนาฝีมือให้มีเกมการเล่นที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม ด้วยตัวช่วยต่างๆ ตั้งแต่รูปลักษณ์ ใบ และฐานที่กว้าง พร้อมด้วยออฟเซ็ตขนาดปานกลาง

คอนเซ็ปต์ของ Apex DCB 21 คือเป็นเหล็กที่ตีลูกลอยง่าย ตีผ่านง่ายจากทุกไลการเล่น ช่วยให้นักกอล์ฟแฮนดิแคปสูงสามารถเล่นเหล็กฟอร์จด้วยความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี Flash Face Cup ที่ช่วยสร้างระยะ เสริมด้วย Tungsten Energy Core ที่ดึงจุดศูนย์ถ่วงให้ลูกเหินลอยง่าย พร้อมเสริมความนุ่มนวลด้วยวัสดุฟอร์จ 1025 mild carbon steel และตัวเสริม urethane microspheres

ราคาขาย : เหล็ก Callaway Apex 21 มาพร้อมก้านสต็อก N.S.Pro Zelos 8 ด้วยราคาขายเซ็ต 5-P ที่ราคา 48,000 บาท, เหล็ก Callaway Apex Pro 21 เซ็ต 5-P มีตัวเลือกก้านเหล็กระหว่าง Dynamic Golf S200 และ N.S.Pro Modus 3 ที่ราคาขาย 56,000 และเหล็ก Callaway Apex DCB 21 เซ็ต 5-P มีตัวเลือกก้านเหล็ก N.S.Pro 950 GH Neo และก้านกราไฟต์ Mitsubishi Daimana ด้วยราคาขาย 48,000 บาท

TaylorMade SIM2 Max
จากความสำเร็จของ TaylorMade SIM2 ที่ถูกอัดเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่ TaylorMade พัฒนาอย่างต่อเนื่องนานหลายปี เข้ามาไว้ในแทบทุกจุดทุกบริเวณของหัวไม้ และคอนเซ็ปต์ดังกล่าวยังถูกส่งต่อมาถึงชุดเหล็ก

TaylorMade SIM2 Max ที่เปิดตัวมาเป็นเหล็กแบบ Game Improvement ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้นักกอล์ฟที่กำลังพัฒนาฝีมือ มีเกมการเล่นที่ดีขึ้น จากไม้ที่ตีง่ายขึ้น และที่สำคัญช่วยให้สนุกกับเกมกอล์ฟได้มากขึ้น

Cap Back Design, New ECHO Damping System, Fast Forgiving Face with Progressive ICT, Thru-Slot Speed Pocket ทั้งหมดคือเทคโนโลยีที่อยู่ในเหล็ก SIM2 รุ่นใหม่นี้

โดยเฉพาะเทคโนโลยีไฮไลท์เลยคือ Cap Back Design ซึ่งการเป็นยกระดับขึ้นมาจากเทคโนโลยี Speed Bridge ด้วยโจทย์ที่ต้องการจะเสริมความแข็งแรงให้กับส่วนท็อปไลน์ทั้งหมด ตั้งแต่ส่วนโคนจรดส่วนปลาย ด้วยวัสดุโพลีเมอร์ที่วางไว้กระจายเต็มหลังใบ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับท็อปไลน์ และพื้นที่บริเวณด้านบนทั้งหมดของหน้าเหล็ก

เทคโนโลยีส่วนนี้จะทำงานร่วมกับร่องที่ฐานเหล็กซึ่งแฟนๆ ของ TaylorMade คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี นั่นคือ Thru-Slot Speed Pocket ที่ลดการซัพพอร์ทลง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหน้าเหล็กมากยิ่งขึ้น ช่วยเร่งบอลสปีดที่แปรเปลี่ยนเป็นระยะทางได้มากยิ่งขึ้น

และนอกจากจะช่วยให้ SIM2 กลายเป็นเหล็กตีไกลแล้ว Cap Back Design ยังช่วยสร้าง MOI เพื่อให้ทั้งใบเหล็กมีความเสถียรแน่นอนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยนักกอล์ฟตีเหล็กได้สม่ำเสมอแน่นอนขึ้นอีกด้วย

ขณะเดียวความรู้สึกในการอิมแพ็คที่นุ่มนวลก็เป็นสิ่งที่วิศวกรของ TaylorMade ให้ความสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยการใส่เทคโนโลยี ECHO Damping System ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่เข้ามา โดยเป็นวัสดุโพลีเมอร์ HYBRAR ความยืดหยุ่นสูง ที่วางไว้ภายในโพรงของใบเหล็กตลอดแนวตั้งแต่โคนจรดปลาย ให้สามารถรองรับการปะทะในทุกจุด และกระจายแรงสั่นออกไป เพื่อลดทั้งแรงสั่นของทั้งใบเหล็ก และความแข็งกระด้างในการปะทะลูก เพื่อให้เหล็ก SIM2 ยังคงให้ความรู้สึกใกล้เคียงเหล็กแบบฟอร์จ ทั้งเรื่องเสียงและสัมผัสมากที่สุด

อีกหนึ่งเทคโนโลยีเด่นของ TaylorMade และถูกใส่มาในเหล็ก SIM2 ด้วยเช่นกัน นั่นคือ Progressive Inverted Cone Technology (ICT) ซึ่งเป็นส่วนเสริมบริเวณหลังหน้าเหล็ก ช่วยควบคุมหน้าเหล็กที่เร็วและมีแรงดีดสูงให้ยังคงอยู่ในกฎ ขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมการชดเชยความผิดพลาดจากการตีไม่โดนกลางหน้าเหล็ก โดยได้วางในตำแหน่งที่แตกต่างกันไปในเหล็กแต่ละเบอร์ อย่างยิ่งกับเหล็กยาวที่จะช่วยให้นักกอล์ฟลดการตีออกขวา ให้ไฟลท์บอลตรงเข้ามาได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นเหล็กตีง่าย โดยเฉพาะกับนักกอล์ฟที่กำลังพัฒนาฝีมือ นอกจากจะตีได้ไกลแล้ว ต้องเป็นเหล็กที่ตีลูกลอยได้ง่าย และมีพลังในการหยุดลูก ใน SIM2 จึงมีระบบ Optimized CG ที่วางจุดศูนย์ถ่วงให้สามารถตีลูกลอยได้ง่าย และลอยไกล กลายเป็นระยะทางที่มากขึ้น พร้อมมุมตกที่ชัน ช่วยในการหยุดลูกบนกรีนอีกด้วย

ทั้งหมดนี้จึง TaylorMade SIM2 Max กลายเป็นเหล็กที่ช่วยให้นักกอล์ฟตีง่าย และสนุกกับเกมกอล์ฟได้มากขึ้นอย่างแท้จริง พร้อมด้วยตัวเลือกเสริมอย่าง SIM2 Max OS (Oversize) โมเดล Super Game Improvement ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีทั้งหมด ด้วยใบที่ขนาดใหญ่กว่า ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้นักกอล์ฟได้มากยิ่งขึ้นตั้งแต่จรดลูกเลยทีเดียว

ราคาขาย : TaylorMade SIM2 Max Irons และ SIM2 Max OS วางขายแบบชุด 7 ชิ้น ตั้งแต่ #5-PW, SW โดยมีก้านสต็อกก้านเหล็กเป็น KBS MAX 85 ด้วยราคาขายเซ็ตละ 39,900 บาท และก้านสต็อกก้านกราไฟต์เป็น Mitsubishi Tensei Blue TM 60 (S,R) ที่มีราคาขายเซ็ตละ 43,900 บาท

TaylorMade P770
ต้องยกให้เป็นแบรนด์ที่ระยะหลังมานี้ทำเหล็กออกมาได้น่าสนใจมาก สำหรับ TaylorMade โดยเฉพาะในกลุ่มเหล็กโฉมที่ดูจริงจัง แต่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี เพื่อให้นักกอล์ฟทุกระดับฝีมือสามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับตัวเองได้ตามต้องการ

โดยเฉพาะเหล็กรุ่น TaylorMade P770 ที่เป็นการต่อยอดจาก P790 รุ่นยอดนิยมของแบรนด์ในช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยเทคโนโลยีหลักเดียวกันทั้งหมด ในรูปทรงที่กะทัดรัดมากยิ่งขึ้น ทั้งท็อปไลน์ที่บางกว่า, ออฟเซ็ตน้อยกว่า และขนาดใบสั้นลง เหมาะสำหรับนักกอล์ฟที่ชื่นชอบในประสิทธิภาพด้านระยะทางและการชดเชยความผิดพลาดของ P790 แต่ต้องการใบเหล็กที่เล็กลง

ใน P770 ขึ้นรูปด้วยกรรมวิธีฟอร์จ และมีโครงสร้างแบบกลวง ภายในมีการฉีด SpeedFoam ทำให้สามารถออกแบบหน้าเหล็กได้บางถึงขีดสุด ทำให้โดดเด่นทั้งด้านฟีลลิ่ง, การสร้างระยะทาง และการชดเชยความผิดพลาด เสริมด้วยร่อง Thru-Slot Speed Pocket และ Progressive ICT ที่ทำให้หน้าเหล็กสามารถสร้างความเร็วได้จากทั่วทุกจุด อีกทั้งยังมีการใส่ทังสเตน ทำให้สามารถวางตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงได้แม่นยำที่สุด

ถ้านักกอล์ฟที่ประทับใจมาแล้วกับ P790 แต่ต้องการโฉมที่ดูกะทัดรัดมากขึ้น และนั่นคือ TaylorMade P770 เลยครับที่คุณกำลังตามหาอยู่

ราคาขาย : TaylorMade P770 ก้านสต็อก N.S. PRO Modus3 105 และก้าน N.S. PRO 950 GH Neo มีราคาขายที่เซ็ตละ 59,500 บาท

Mizuno JPX921
ถ้าถามว่าปัจจุบันแบรนด์ไหนคือ แบรนด์ที่มีชุดเหล็กได้รับความนิยมมากสูงสุด เชื่อว่านักกอล์ฟทุกคนแทบจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า Mizuno อย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะด้วยการผลิตที่โดดเด่นอย่าง Grain Flow Forged ที่ให้ความรู้สึกและสัมผัสอย่างที่นักกอล์ฟหาไม่ได้จากแบรนด์อื่น นั่นคือ ความนุ่มแน่นที่เกิดขึ้นจากเนื้อเหล็กอันเนียนละเอียด มีการเรียงตัวโมเลกุลที่หนาแน่น ส่งผลให้การความรู้สึกในการอิมแพ็คลูกที่นุ่มนวลยากที่แบรนด์ใดจะเลียนแบบได้ เสริมด้วยการดีไซน์โมเดลย่อยให้เลือกหลากหลาย ตามความต้องการทุกรูปแบบของนักกอล์ฟ

โดยเฉพาอย่างยิ่งกับ JPX921 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีการใช้วัสดุพิเศษอย่าง Chromoly ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างโลหะโครเมี่ยม (Chromium) และ โลหะโมลิบดินัม (Molybdenum) ในการผลิตเหล็ก Forged แบบเต็มตัวเป็นครั้งแรก ยิ่งทำให้ดีไซน์ของชุดเหล็กออกมาสวยงามไร้ที่ติมากยิ่งขึ้น ขณะที่ใน JPX921 มีการแบ่งโมเดลชุดเหล็กออกเป็น 3 รุ่นย่อยดังนี้

JPX921 Tour ชุดเหล็กที่มีใบขนาดบางที่สุดใน 3 รุ่นของซีรีส์นี้ที่ถูกดีไซน์รูปทรงออกมาได้อย่างงดงามทุกมุมมอง และประณีตในทุกรายละเอียด ใบเหล็กขึ้นรูปชิ้นเดียวจากการ Forged ของโรงงานในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้นำเทคโนโลยีพิเศษของ Mizuno มาใช้ในการสร้างสรรค์ให้เป็นใบเหล็กรูปลักษณ์บาง ออฟเซ็ตน้อย แต่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพการชดเชยความผิดพลาดค่อนข้างสูงหากเปรียบกับเหล็กใบเบลดขึ้นชื่ออันเป็นที่นิยมของมือโปรทั่วไป ดังนั้นด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวในโมเดลนี้ทำให้ JPX921 Tour จึงเป็นชุดเหล็กรุ่นใหม่ที่เหมาะสำหรับนักกอล์ฟที่ค่อนข้างมีฝีมือในระดับหนึ่ง จนไประดับทัวร์ โดยเฉพาะบรรดาผู้เล่นที่ชอบแต่งช็อตการเล่นของตัวเองไม่ว่าจะเป็นลูกเฟด หรือลูกดรอว์ เพื่อจัดการกับเกมกอล์ฟที่กำลังเผชิญอยู่ให้มีประสิทธิภาพที่มากขึ้น

JPX921 Forged ชุดเหล็กที่สร้างสรรค์ออกมาให้มีคุณสมบัติอยู่ระหว่าง JPX Tour และ JPX Hot Metal กับชุดเหล็กที่มีขนาดใบปานกลางด้วยวัสดุ Chromoly 4120 ที่ผ่านกระบวนการ Forged อันเลื่องชื่อของ Mizuno เพื่อสร้างสรรค์ให้เหล็กชุดนี้ออกมาให้นักกอล์ฟตีง่าย สร้างระยะได้ ไม่ว่าจะมือใหม่ หรือฝีมือดีก็สามารถใช้ชุดเหล็กนี้ทำผลงานในสนามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

JPX921 Hot Metal โมเดลชุดเหล็กยอดนิยมสำหรับนักกอล์ฟสมัครเล่น กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชั้นใหม่ ที่ยังคงใช้สุดยอดวัสดุอย่าง Chromoly ในการผลิตเหล็กใบใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยความยืดหยุ่นของหน้าไม้ เพื่อการให้ระยะที่เพิ่มมากขึ้น JPX921 Hot Metal เป็นโมเดลที่ผลิตออกมาเอาใจนักกอล์ฟมือใหม่ที่กำลังมองหาชุดเหล็กรูปลักษณ์สวยที่ตีง่าย ได้ระยะ และที่พิเศษกว่าที่ผ่านมาคือมีการแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยให้นักกอล์ฟได้เลือกใช้ ระหว่าง JPX921 Hot Metal และ JPX921 Hot Metal Pro ที่มีการลดออฟเซ็ตให้น้อยลงจากรุ่นปกติ เช่นเดียวกับใบเหล็กที่ปรับให้บางลงเล็กน้อย เหมาะสำหรับนักกอล์ฟมือดีที่ต้องการเหล็กใบใหญ่ที่ตีง่ายออฟเซ็ตน้อยที่พร้อมสร้างความมั่นใจให้นักกอล์ฟสามารถทำผลงานในสนามได้ตามเป้าหมาย พร้อมเพิ่มเหล็กในเซ็ตอีกหนึ่งชิ้นไปจนถึงเหล็ก 4

ราคาขาย : JPX921 Tour #5-PW ก้าน N.S.Pro Modus 105, 120 ราคา 48,900 บาท
JPX921 Forged มี#5-PW ก้าน N.S.Pro 950 ราคา 46,900 บาท และก้าน Graphite JPX Mi-1 ราคา 51,900 บาท
JPX921 Hot Metal #5-PW ก้าน N.S.Pro 950 ราคา 38,900 บาท และก้าน Graphite JPX Mi-1 ราคา 41,900 บาท

Honma T//World GS
ชุดเหล็ก Honma T//World GS เป็นเหล็กที่ถูกสร้างมาเพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักกอล์ฟโดยเฉพาะ ด้วยคุณสมบัติการชดเชยความผิดพลาดที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเต็มที่ และอย่างยิ่งกับการช่วยเพิ่มสปีดให้กับนักกอล์ฟ ในกลุ่มผู้เล่นที่มีสวิงสปีดปานกลาง ตามชื่อรุ่น GS ที่มาจากคำว่า Gain Speed นั่นเอง

Honma T//World GS ถูกออกแบบให้เป็นเหล็กที่มีโครงสร้าง Wide Deep Cavity เพื่อช่วยในการจัดวางตำแหน่งจุด CG ให้กว้างขึ้น เพื่อเพิ่ม MOI และช่วยสร้างความมั่นใจตั้งแต่การจรดลูก

แต่ถึงแม้จะเป็นเหล็กแบบ Game-Improvement แต่มันได้ถูกออกแบบอย่างซับซ้อนปราณีต ตามแบบฉบับของ Honma ด้วยโครงสร้างที่มีความเฉพาะเจาะจง และแตกต่างกัน

ไล่ตั้งแต่ตัวโครงสร้างหน้าเหล็กแบบ L-Cup face ที่ถูกดีไซน์วางไว้เฉพาะในเหล็ก 4-7 เพื่อให้สร้างบอลสปีดได้สูงขึ้น และช่วยลดสปิน เสริมการทำงานด้วยตัวถ่วงน้ำหนักทังสเตนที่วางไว้ภายใน เยื้องไปทางปลายไม้ และอยู่ต่ำ ให้เหมาะกับแคเรกเตอร์ของการเป็นเหล็กยาวที่เน้นการสร้างระยะทาง รวมถึงให้ไฟลท์บอลที่ลอยง่ายมากขึ้น และปิดหน้าไม้ได้เร็วขึ้น เพื่อส่งลูกเข้าหาเป้าหมายได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่าเดิม

ขณะที่โครงสร้างของเหล็ก 8-11 เป็น 360-degree undercut ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหน้าเหล็ก และทำให้สวีทสปอตกว้างมากขึ้น เพื่อทำให้ช็อตบุกขึ้นกรีนหวังผลได้มากกว่าเดิม

เพื่อช่วยเหลือนักกอล์ฟในกลุ่มกำลังพัฒนาฝีมืออย่างเต็มที่ ทาง Honma ยังได้ใส่ร่องที่ท้องไม้ Flip Slot technology เพื่อช่วงเร่งบอลสปีดให้สูงขึ้น ทำให้นักกอล์ฟยังสามารถตีได้ระยะทาง แม้ในกลุ่มผู้เล่นสวิงสปีดปานกลาง โดยเฉพาะร่องที่ฝั่งปลายไม้ได้ถูกขยายให้กว้างกว่า เพื่อช่วยชดเชยความผิดพลาดกรณีตีโดนทางปลายไม้ ซึ่งเป็นปัญหาของนักกอล์ฟอเมเจอร์ส่วนใหญ่ด้วย

และทั้งหมดนี้จึงทำให้ Honma T//World GS เหมาะสมทุกประการ สำหรับการเป็นชุดเหล็กเริ่มต้น รวมถึงการเป็นชุดเหล็กที่จะช่วยให้คุณพัฒนาเกมการเล่นให้ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง

ราคาขาย : เซ็ต 8 ชิ้น 5-11, S ก้านเหล็ก N.S.Pro 950 GH Neo ราคา 48,000 บาท และก้านกราไฟต์ SpeedTuned 48 ราคา 56,000 บาท

Fourteen IF-700 Forged
Fourteen ถือเป็นแบรนด์ที่ยึดมั่นในเอกลักษณ์ของตัวเองเสมอมา โดยเฉพาะโครงสร้างเหล็กแบบ Cavity ที่พวกเขาใช้มาในทุกรุ่นทุกยุคสมัย แต่กับเหล็กรุ่นใหม่ล่าสุด IF-700 Forged ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง โดยไม่ได้ทิ้งเอกลักษณ์ดั้งเดิมของพวกเขาไป ด้วยเทคโนโลยีโครงสร้างแบบใหม่ที่พวกเขาตั้งชื่อมันว่า Hyper-Cavity

โครงสร้าง Hyper-Cavity ที่ถูกนำมาใช้ในเหล็ก Fourteen IF-700 Forged เพื่อให้ได้คอนเซ็ปต์ที่ทั้งสร้างระยะทางได้ดี, ชดเชยความผิดพลาด รวมถึงยังคงความสวยงามของรูปลักษณ์ใบเอาไว้ โดยเฉพาะการที่ยังรักษาความเป็นโครงสร้างแบบมีโพรงหลังใบที่เป็นจุดเด่นของ Fourteen เอาไว้ แต่เพิ่มโพรงภายในเข้ามาเพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะช่วยทั้งในเรื่องดีดตัวของหน้าเหล็ก และการชดเชยความผิดพลาด ในขณะที่ยังคงความสวยงามตามสไตล์เหล็กของ Fourteen เอาไว้

ด้วยการปลดล็อกดีไซน์โครงสร้างดังกล่าว ยังเอื้อให้ Fourteen สามารถดีไซน์เพิ่มความสูงของหน้าเหล็กได้สูงขึ้น ช่วยให้เล็งจรดลูกได้มั่นใจ ขณะเดียวกันก็เพิ่มจุดเด่นเรื่องสัมผัสเข้ามา ทั้งจากวัสดุ S25C ที่ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวล เสริมด้วยกระบวนการขึ้นรูปด้วยกรรมวิธีการฟอร์จ พร้อมอัดวัสดุพิเศษเข้าไปในโพรงภายใน เพื่อช่วยเสริมฟีลลิ่งการปะทะลูกให้ยิ่งโดดเด่นมากขึ้น

ถ้าคุณคือนักกอล์ฟที่ชอบสไตล์เหล็กแบบดั้งเดิม แต่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีภายใน และสัมผัสอันนุ่มนวล Fourteen IF-700 Forged คือเหล็กที่พร้อมจะตอบทุกความต้องการให้กับคุณได้อย่างแท้จริง

ราคาขาย : ก้านเหล็ก FS-90i ราคา 45,000 บาท / ก้านกราไฟต์ FT-70i ราคา 49,200 บาท

**สั่งซื้อสินค้ากอล์ฟออนไลน์ผ่าน HotGolf Shop สอบถามสินค้าได้ที่คลิก https://line.me/R/ti/p/%40hotgolf